แม่กุญแจและลูกกุญแจโบราณ เป็นเครื่องสำหรับใส่ประตูหน้าต่างเป็นต้น เพื่อยึดหรือสลักไม่ให้เปิดเข้าออกได้ เวลากดหรือไขออกมีเสียงลั่นดังกริ๊ก มีลูกไข เรียกว่า ลูกกุญแจ, ประแจ โดยวัตถุชิ้นนี้มีขนาดยาว 11.7 ซม. กว้าง 2.0 ซม. สภาพสมบูรณ์ เป็นแม่กุญแจและลูกกุญแจโบราณไม่ทราบอายุที่แน่ชัด มีลักษณะเป็นแม่กุญแจที่มีลักษณะเป็นรูปวงรี ทำจากเหล็กและมีรูสำหรับเสียบลูกกุญแจ ในอดีตใช้ล็อคคล้องกับโซ่ประตูวิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ แต่คาดว่าไม่ใช่ของเดิมตั้งแต่เดิม ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันแม่กุญแจและลูกกุญแจโบราณ ได้จัดเก็บไว้ที่ ตู้จัดแสดงหมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
ตุ้มหู หรือต่างหูนาคโบราณ เป็นเครื่องประดับบริเวณติ่งหูของสตรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. หนา 0.7 ซม. สูง 1.8 ซม. สภาพสมบูรณ์ แต่พบเพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น ไม่ทราบอายุและเจ้าของเดิมที่แน่ชัด ลักษณะรูปทรงกลมแบน ด้านหลังมีส่วนสำหรับสอดเข้ารูหูติดอยู่ลักษณะขดเป็นวงโค้งปลายบิดงอขึ้น ทำจากนาก ซึ่งเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง ทองคำและเงิน โดยเจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งไม่ทราบว่าองค์ใด ได้พบตุ้มหูนาคชิ้นนี้ในบริเวณของวัด และเห็นว่าเป็นตุ้มหูที่ทำมาจากนาคซึ่งพบเห็นได้ยากในปัจจุบัน จึงได้เก็บรักษาไว้ ภายหลังพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) ได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันจัดแสดงภายในตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
ที่แขวนโคมไฟ ขนาด ยาว 90.1 ซม. สูง 12.5 ซม. หนา 10.3 ซม. ทำจากไม้ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นรูปสัตว์ชนิดหนึ่งข้างใต้เจาะเป็นโพรงเอาไว้ใส่ลูกลอกที่ทำจากทองเหลืองมีแกนเหล็กเสียบสลักไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งที่ต่อจากรูปสลักสัตว์เป็นด้ามยาวประมาณสองศอกมีรอยเชื่อมต่อตรงกลางตรงปลายมีการเจาะรูไว้ใส่สลัก ใช้ในการแขวนโคมไฟ ไม่ทราบอายุที่แน่ชัด พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) ได้นำมาเก็บรักษา และภายหลังจึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 5 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
กระดานชนวน เป็นแผ่นหินชนวน หินชนวนนี้จะเป็นแผ่นบางๆ ซ้อนติดกัน เนื้อแน่นและละเอียด มีสีต่างๆ กัน ตั้งแต่สีเทาไปจนถึงสีเทาแก่ และสีดำ สีนํ้าเงิน ที่มีสีแดง สีเขียว สีม่วง ก็มี โดยใช้เขียนด้วยดินสอหินซึ่งทำด้วยหินชนวนตัดและฝนเป็นแท่ง สำหรับฝึกเขียนหนังสือในสมัยก่อน กระดาษชนวนชิ้นนี้ ตัวกระดานทำจากหินชนวน มีกรอบที่ทำจากไม้เพื่อยึดไม่ให้กระดานแตกได้ง่าย ส่วนผิวกระดานนั้นมีรอยขีดเป็นเส้นบรรทัดเพื่อใช้เป็นบรรทัดในการเขียน ขนาดยาว 34.5 ซม. กว้าง 2 ซม. สำหรับประวัติวัตถุดังกล่าว พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) ได้นำมาเก็บรักษา และภายหลังจึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 6 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
ฝาครอบขันหมาก ขนาดสูง 19.0 ซม. กว้าง 31.5 ซม. เป็นฝาครอบขันหมาก ไม่ทราบอายุที่แน่ชัด มีลักษณะเป็นฝาครอบขันหมากที่ทำจากไม้มีการลงรักหาง (ชาด) มีการแกะสลักเป็นชั้นๆ และวาดลวดลายประดับเป็นรูปคล้ายใบไม้บริเวณตรงกลางของฝาครอบ สีบางส่วนได้ถลอกออกไป มีร่องรอยชำรุดแตกหักบริเวณตรงกลางของฝาครอบที่มีการวาดลวดลาย สำหรับฝาครอบขันหมากชิ้นนี้ มีชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาได้นำมาถวายให้แก่พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) และภายหลังจึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันฝาครอบขันหมากได้จัดเก็บไว้ที่ บริเวณตู้จัดแสดงหมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
สัตตภัณฑ์ เป็นเครื่องประกอบพิธีทางศาสนาของล้านนา ในอดีตใช้สำหรับเป็นที่จุดเทียน 7 เล่ม ซึ่งปัจจุบันจะไม่มีการนำมาจุดเทียน แต่จะใช้ประดับอยู่หน้าพระประธานในวิหารเท่านั้น ขนาด ฐานกว้าง 133.8 ซม. กว้าง 134.5 ซม. สูง 168.0 ซม. ลักษณะรูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว จะมีเชิงเทียนไล่ลงมาจากยอดถึงฐานทั้ง 2 ด้าน รวม 7 เล่ม ทำด้วยไม้สัก เป็นสัตตภัณฑ์ศิลปะล้านนาโบราณ โดยตรงขอบทั้งฝั่งซ้ายและขวาแกะสลักรูปพญานาคประดับด้วยกระจกจืน ใจกลางของสัตตภัณฑ์เป็นรูปเทวดาถือเครือดอกล้านนาทำด้วยสมุกเกสรดอกไม้ผสมรักปั้นเป็นรูปเทวดา และเครือดอกไม้ลงรักปิดทองประดับด้วยกระจกจืน ส่วนฐานของสัตตภัณฑ์ลงรักปิดทองลายดอกล้านนา ชาวล้านนานิยมสร้างสัตตภัณฑ์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยเชื่อว่าผู้สร้างจะได้บุญกุศลมหาศาล และเมื่อสิ้นอายุขัย ผู้นั้นจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ ส่วนใหญ่สัตตภัณฑ์มักมีรูปพญานาคประกอบอยู่เสมอ เนื่องจากพญานาคเป็นสัตว์แห่งพุทธศาสนา จึงพบรูปพญานาคปรากฏอยู่ในงานศิลปกรรมทางพุทธศาสนาได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีคติความเชื่อที่สำคัญอีก 2 ประการ คือ 1. แนวคิดเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา สัตตภัณฑ์สร้างขึ้นโดยแฝงด้วยสัญลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างจักรวาลกับโลก โดยจำลองสัณฐานของจักรวาลในแนวตั้ง ซึ่งมีระเบียบเช่นเดียวกับภาพจิตรกรรมเขาพระสุเมรุ ซึ่งทางล้านนาเรียกว่าสิเนรุที่ล้อมรอบด้วยเขาบริวารทั้ง 7 เป็นวงกลมลดหลั่นกันลงมา ประกอบด้วย ยุคันธร อิสินธร กรวิก สุทัสนะ เนมินธร วินันตกะ และ อัสสกัณณ์ 2. แนวคิดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา สัตตภัณฑ์สร้างขึ้นโดยสอดแทรกหลักธรรมหรือหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับเลข 7 ได้แก่ หลักโพชฌงค์ 7 สัทธัมมะ 7 สัปปุริสธัมมะ 7 เป็นต้น เพื่อให้ชาวพุทธล้านนานำไปเป็นแนวปฏิบัติในชีวิต
จองคำ จองพระเจ้า หรือเตียงนอนพระเจ้า เป็นงานศิลปกรรมที่จำลองมาจากเตียงนอนของกษัตริย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีวรรณะเป็นกษัตริย์มาก่อนที่จะทรงออกบวช จองคำหลังนี้ มีขนาด ยาว 86.0 ซม. กว้าง 46.0 ซม. สูง 111.0 ซม. อายุประมาณ 116 ปี สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1145 แต่เดิมเป็นของวัดหมื่นสาร ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันอยู่ที่วัดมงคลทุ่งแป้ง ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่วัดมงคลทุ่งแป้งและช่วงระยะเวลาที่ได้มา ลักษณะทำมาจากไม้สัก ลักษณะหลังเปียงไม่มียอด มีประดับตกแต่งด้วยการลงรักปิดทองเขียนตกแต่งด้วยลายดอกไม้ ด้านบนประดับด้วยกระจกจืน มีคำจารึกเป็นอักษรธรรมล้านนา สรุปใจความได้ว่า “สุวรรณมัญจาจองคำอันนี้ สร้างเมื่อจุลศักราช 1261 เดือนห้าเป็ง เม็งวันสี่ไต โดยอ้ายปันและครอบครัวได้ถวายเพื่อค้ำชูศาสนาแก่วัดหมื่นสาร” คติความเชื่อในการสร้างจองคำหรือจองพระเจ้านั้น ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าการสร้างจองคำ หรือจองพระเจ้า อันเป็นเครื่องสักการบูชาแก่พระพุทธเจ้า หากผู้ใดถวายจะได้อานิสงค์ผลบุญอย่างมาก ปัจจุบันจัดแสดงอยู่นอกตู้จัดแสดง บริเวณด้านข้างพระประธานในวิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
แว่นสายตาพระเจ้า หรือแว่นส่องตาพระเจ้า เป็นเครื่องสักการะที่ใช้ในพิธีบวชพระเจ้า หรือพิธีสวดเบิก หรือที่เรียกว่าการสมโภชน์พระพุทธรูป ซึ่งหมายถึง การทำให้พระพุทธรูปประดุจดังองค์พระพุทธเจ้า ได้ทำพิธีอบรมสมโภชและอุปสมบท ซึ่งล้านนาเรียกพิธีนี้ว่า การบวชพระเจ้า เนื่องจากเมื่อสร้างพระพุทธรูปเสร็จแล้ว แต่ยังถือว่าพระพุทธรูปองค์นั้นยังไม่เป็นพระพุทธรูป (สมมุติของพระพุทธเจ้า) อย่างสมบูรณ์ จนกว่าจะได้ทำพิธีอบรมสมโภชและอุปสมบทซึ่งเรียกกันว่า “บวชพระเจ้า” เพราะในช่วงที่ทำการสร้างพระพุทธรูป ช่างได้เหยียบย่ำองค์พระพุทธรูป จึงต้องกระทำพิธีบวชพระเจ้าเสียก่อนถึงเป็นพระพุทธรูปโดยสมบรูณ์ โดยในพิธีกรรมจะใช้กระจกหรือแก้วสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าสู่ดวงเนตรพระพุทธรูป เป็นการแสดงถึงการปลุกให้ตื่นหรือเบิกพระเนตร ในพิธีกรรมจะใช้กระจกหรือแก้วสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าสู่ดวงเนตรพระพุทธรูป เป็นการแสดงถึงการปลุกให้ตื่นหรือเบิกพระเนตร แว่นสายตาพระเจ้า หรือแว่นส่องตาพระเจ้าชิ้นนี้มีขนาด สูง 46.0 ซม. กว้าง 14.2 ซม. สร้างขึ้นตั้งแต่เจ้าอาวาสรุ่นก่อน ลักษณะทำจากทองเหลือง ส่วนฐานลักษณะเป็นทรงกรวย ขึ้นไปเป็นส่วนลำตัวลักษณะเป็นทรงกระบอก ส่วนปลายใช้สปริงเป็นตัวยึดจำนวน 3 ตัว กับกระจกสามบาน ลักษณะกระจกเป็นทรงกลมภายในกรอบทองเหลืองทรงเปลวเพลิง โดยแก้วกระจกสามดวง หมายถึง ญาณทั้งสามของพระพุทธองค์ในการตรัสรู้ คือ ปฐมยาม การระลึกชาติได้ มัชฌิมยาม การมองเห็นโลกมนุษย์ สวรรค์ นรก และปัจฉิมยาม คือการดับกิเลสทั้งมวล ปัจจุบันไม่มีการนำมาใช้งานแล้ว และจัดแสดงอยู่นอกตู้จัดแสดง บริเวณด้านข้างพระประธานในวิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
พระพุทธรูปโลหะ ขนาดตักกว้าง 4.0 ซม. สูงพร้อมฐาน 10.0 ซม. สูงเฉพาะองค์ 4.7 ซม. ฐานสูง 1.8 ซม. เป็นพระพุทธรูปโลหะไม่ทราบอายุที่แน่ชัด มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปขนาดเล็กปางมารวิชัย ทำจากโลหะ มีการแกะสลักแบบหยาบๆ จึงไม่ค่อยสังเกตเห็นรายละเอียดของพุทธลักษณะได้มากนัก มีร่องรอยหักบิ่นออกเล็กน้อยบริเวณปลายศิรประภา สำหรับประวัติพระพุทธรุปโลหะชิ้นนี้ มีชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาได้นำมาถวายให้แก่พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) ตามความเชื่อเพื่อเป็นพุทธบูชา และเพื่ออานิสงส์ในการทำพระพุทธรูป และภายหลังพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ จึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันพระพุทธรูปโลหะได้จัดเก็บไว้ที่ ตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผา ขนาดสูง 0.5 ซม. กว้าง 1.3 ซม. ยาว 5.5 ซม. เป็นชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผาไม่ทราบอายุที่แน่ชัด พระพิมพ์ คือ พระเครื่องที่สร้างขึ้นตามแบบแม่พิมพ์ โดยมีลักษณะเป็นชิ้นส่วนของพระพิมพ์ซึ่งทำจากดินเผา ไม่ทราบปาง เนื่องจากชิ้นส่วนที่เหลืออยู่เห็นเป็นพระวรกายด้านบนเพียงเล็กน้อยส่วนที่เหลือได้แตกหักออกไป สำหรับประวัติพระพิมพ์ชิ้นนี้ มีชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาได้นำมาถวายให้แก่พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) และภายหลังจึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผาได้จัดเก็บไว้ที่ ตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดตักกว้าง 7.0 ซม. สูงพร้อมฐาน . 15.6 ซม. สูงเฉพาะองค์ 12.4 ซม. ฐานสูง 3.2 ซม. ทำจากโลหะ ลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานเขียงรองรับฐานบัวหงายมีเกรส เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณี เส้นพระเกศาทำตุ่มกลม เหนือพระเกตุมาลาปรากฏพระรัศมีเป็นทรงกรวยเรียว พระเนตรเหลืองต่ำลง พระนาสิกค่อนข้างหนา พระหนุเป็นปม พระศอเป็นชั้น พระอังสากว้าง บั้นพระองค์เล็ก ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) ได้รับมาจากเมื่อนานมาแล้วไม่แน่ชัดว่าเมื่อไร และได้เก็บดูแลรักษาไว้ ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดตักกว้าง 6.0 ซม. สูงพร้อมฐาน 12.0 ซม. สูงเฉพาะองค์ 8.7 ซม. ฐานสูง 3.3 ซม. ทำจากแก้วโป่งข่าม ลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานซ้อนลดหลั่นกัน 2 ชั้น ตกแต่งด้วยลวดลายสามเหลี่ยม พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณี เส้นพระเกศาทำเป็นตารางสี่เหลี่ยม เหนือพระเกตุมาลาปรากฏพระรัศมีเป็นทรงกรวยเรียว นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกัน พระเนตรเหลืองต่ำลง พระนาสิกค่อนข้างหนา ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี พระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) ได้ซื้อมาจากจังหวัดตาก เมื่อประมาณ 3 ปี เพื่อให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานทำบุญที่วัด ไว้เป็นของที่ระลึก ปัจจุบันจัดแสดงในตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
ปากแล เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าของแผงแล ซึ่งเป็นแผ่นไม้อยู่ระหว่างแปรับกลอนหลังคากับคอสองรับปีกนกด้านข้าง ที่เรียกว่าปากแลเพราะมักทำเป็นรูปปากนกแก้ว ปากแลชิ้นนี้ ทำจากไม้ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงปลายทั้งสองด้านมีแกนหลักไว้สำหรับยึดติดโครงสร้างแปรลงมา มีการสลักเป็นร่องสองขีด ตรงกลางมีการแกะสลักเหมือนเขี้ยวทั้งข้างบนและข้างล่างรวมสองสี่ซี่เหมือนปากสิงห์ ขนาดยาว 49.5 ซม. กว้าง 12.3 ซม. ในอดีตเป็นปากแลของวิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 6 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณ เป็นกระเบื้องดินเผาชนิดหนึ่งที่มีใช้ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน มีลักษณะเป็นแผ่นสีเหลี่ยมปลายตัดตรง ด้านล่างทำเป็นปุ่มเพื่อเอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ระยะหลัง มีการพัฒนารูปแบบให้มีลักษณะปลายมนบ้าง ลบเหลี่ยมบ้าง แล้วแต่ผู้ผลิต แต่ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือเป็นกระเบื้องหลังคาดินเผาขนาดเล็ก ในอดีตพื้นที่ที่นิยมใช้ คือ ภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณชิ้นนี้ในอดีตเป็นกระเบื้องดินขอที่ใช้มุงหลังคาวิหารของวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณชิ้นนี้ ทำจากดินเผา ลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปลายตัดตรง ปลายด้านหนึ่งเป็นส่วนที่เอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ลักษณะลวดลายบริเวณดังกล่าวทำเป็นลายดอกล้านนา ดอกตรงกลางจะมีขนาดเล็กในรูปแบบสามเหลี่ยม ด้านข้างออกไปจะเป็นลวดลายเครือเถาว์ หรือเรียกว่าลายพันธุ์พฤกษาภายในกรอบสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 10.5 ซม. ยาว 27.0 ซม. สูง 2.6 ซม. หนา 0.8 ซม. ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณ เป็นกระเบื้องดินเผาชนิดหนึ่งที่มีใช้ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปลายตัดตรง ด้านล่างทำเป็นปุ่มเพื่อเอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ระยะหลัง มีการพัฒนารูปแบบให้มีลักษณะปลายมนบ้าง ลบเหลี่ยมบ้าง แล้วแต่ผู้ผลิต แต่ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือเป็นกระเบื้องหลังคาดินเผาขนาดเล็ก ในอดีตพื้นที่ที่นิยมใช้ คือ ภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณชิ้นนี้ในอดีตเป็นกระเบื้องดินขอที่ใช้มุงหลังคาวิหารของวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณชิ้นนี้ ทำจากดินเผา ลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปลายตัดตรง ปลายด้านหนึ่งเป็นส่วนที่เอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ลักษณะลวดลายบริเวณดังกล่าวทำเป็นลายดอกล้านนา จะเป็นลายดอกไม้ล้านนาในกรอบกลีบบัวซ้อนกัน 3 กลีบ ขนาด กว้าง 10.8 ซม. ยาว 22.0 ซม. สูง 2.1 ซม. หนา 0.6 ซม. ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณ เป็นกระเบื้องดินเผาชนิดหนึ่งที่มีใช้ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน มีลักษณะเป็นแผ่นสีเหลี่ยมปลายตัดตรง ด้านล่างทำเป็นปุ่มเพื่อเอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ระยะหลัง มีการพัฒนารูปแบบให้มีลักษณะปลายมนบ้าง ลบเหลี่ยมบ้าง แล้วแต่ผู้ผลิต แต่ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือเป็นกระเบื้องหลังคาดินเผาขนาดเล็ก ในอดีตพื้นที่ที่นิยมใช้ คือ ภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณชิ้นนี้ในอดีตเป็นกระเบื้องดินขอที่ใช้มุงหลังคาวิหารของวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง ลักษณะทำจากดินเผา เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปลายตัดตรง ปลายด้านหนึ่งเป็นส่วนที่เอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ลักษณะลวดลายบริเวณดังกล่าวทำเป็นลายดอกล้านนา ดอกตรงกลางจะมีขนาดใหญ่ที่สุด ด้านข้างออกไปจะเป็นลวดลายเครือเถาว์ค่อนข้างเต็มบริเวณ หรือเรียกว่าลายพันธุ์พฤกษา ขนาด กว้าง 10.3 ซม. ยาว 22.0 ซม. สูง 2.2 ซม. หนา 0.7 ซม. ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณ เป็นกระเบื้องดินเผาชนิดหนึ่งที่มีใช้ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานาน มีลักษณะเป็นแผ่นสีเหลี่ยมปลายตัดตรง ด้านล่างทำเป็นปุ่มเพื่อเอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ระยะหลัง มีการพัฒนารูปแบบให้มีลักษณะปลายมนบ้าง ลบเหลี่ยมบ้าง แล้วแต่ผู้ผลิต แต่ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือเป็นกระเบื้องหลังคาดินเผาขนาดเล็ก ในอดีตพื้นที่ที่นิยมใช้ คือ ภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ กระเบื้องดินขอมุงหลังคาโบราณชิ้นนี้ในอดีตเป็นกระเบื้องดินขอที่ใช้มุงหลังคาวิหารของวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง ลักษณะทำจากดินเผา กระเบื้องส่วนที่เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปลายตัดตรงแตกหายไป เหลือเพียงส่วนที่เอาไว้เกี่ยวกับระแนงที่รองรับ ซึ่งแตกต่อกันไว้ ลักษณะลวดลายบริเวณดังกล่าวทำเป็นลายสามเหลี่ยมต่อกันภายในกรอบสี่เหลี่ยม ขนาด กว้าง 11.1 ซม. สูง 1.9 ซม. ยาว 4.9 ซม. หนา 0.6 ซม. ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 3 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
ปลายและลิ่มของแปร ขนาด ยาว 24.2 ซม. กว้าง 23.5 ซม. ทำจากไม้ มีรอยสองหยักและปลายแหลมเป็นรูปดอกบัว วัดเข้ามาประมาณหนึ่งฝ่ามือมีการเจาะรูแล้วมีลิ้มไม้ตอกอยู่เคลือบไม้ด้วยยางรัก ส่วนตรงโคนมีล่องรอยการทำรายของปลวก ในอดีตเป็นหนึ่งของโครงสร้างวิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง ซึ่งเป็นวัดที่สันนิษฐานว่ามีอายุมากกว่า 500 ปีขึ้นไป ภายหลังเมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตามสภาพกาลเวลา เจ้าอาวาสรุ่นก่อนจึงได้มีการเก็บรักษาชิ้นส่วนเดิมเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง ปัจจุบันจัดแสดงบริเวณตู้หมายเลข 5 วิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง
หน้าบัน ในอดีตอาจใช้ในการประกอบเป็นส่วนหนึ่งของหน้าบันปราสาทหรือธรรมาสน์หลวง เจ้าอาวาสรุ่นก่อนได้มีการเก็บรักษาเอาไว้ ต่อมาพระดอนศักดิ์ กตปุญโญ (เจ้าอาวาสวัดมงคลทุ่งแป้งองค์ปัจจุบัน) จึงได้นำมาจัดแสดง โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าประโยชน์ใช้สอยคือเช่นไร และมาจากวัดมงคลทุ่งแป้งหรือไม่ หน้าบันชิ้นนี้ มีขนาด กว้าง 55.5 ซม. สูง 50.5 ซม. หนา 3.2 ซม. ทำจากไม้ ลักษณะรูปทรงแบบสามเหลี่ยมโดยมีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีตัวเหงาหรือหางวันในภาษาเหนือขนาบทั้งสองข้างมีการลงรักทาชาดปิดทอง โดยบริเวณตัวเหงาเป็นรูปดอกลายประจำยามแล้วมีเส้นขอบสองเส้น ส่วนตรงกลางเป็นรูปดอกไม้บานบนต้น ตัวเหงานอกจากมีบทบาทสำคัญสำหรับลายไทยแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในด้านสถาปัตยกรรมของไทยอีกด้วย โดยเฉพาะในภาคเหนือที่นิยมนำรูปทรงตัวเหงามาประกอบการออกแบบตกแต่งได้อย่างลงตัว เช่น ราวบันได ซุ้มประตู และขอบคิ้วต่างๆ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่นอกตู้จัดแสดง บริเวณด้านข้างพระประธานในวิหารวัดมงคลทุ่งแป้ง