การตี เป็นขั้นตอนที่ 1 ผู้ที่ทำหน้าที่คือ ช่างตี เป็นขั้นตอนที่รวมการหลอม แผ่ และตีไว้ด้วยกัน ในปัจจุบันช่างตีจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในการผสมโลหะ โดยต้องผสมโลหะให้ได้เนื้อทองที่เหนียวเหมาะแก่งานบุ ช่างโบราณเมื่อราวรัชกาลที่ 3-4 พอใจใช้ทองเท่า 2 ชนิด คือ "ทองใบไม้" หมายถึง เศษทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากการแตกชำรุด และ "กองม้าล่อ" หรือ "ทองฉาบ" หมายถึง ทองจากเครื่องดนตรีสัมฤทธิ์ของจีนที่แตกชำรุด ใช้เป็นส่วนผสมในการหลอมโลหะ ต่อมาทองฉาบหายากขึ้น ช่างจึงผสมโลหะขึ้นใช้เองในอัตราส่วนทองแดง 7 ส่วน ดีบุก 2 ส่วน และเศษสัมฤทธิ์ 1 ส่วน นำมาย่อยลงเบ้าหลอมบนเตาตี เตาตีเป็นเตาแบบโบราณ ทำด้วยอิฐสอดิน สูงราว 1 ศอก กลางเตาทำเป็นหลุมกระทะข้างล่างมีช่องต่อกับท่อลม เดิมใช้สูบลมด้วยมือ ช่างหลอมต้องมีผู้ช่วยสูบ 1 คน ปัจจุบันนี้พัฒนามาใช้พัดลมมอเตอร์เป็นตัวเร่งไฟให้ร้อน โดยใช้ถ่านไม้ซากซึ่งเป็นถ่านไม้คุณภาพดีเป็นเชื้อเพลิง การหลอม ช่างจะวางเบ้าโลหะลงในแอ่งกลางเตา กลบถ่าน แล้วโหมไฟอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งโลหะละลายเป็นน้ำทองเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ขั้นตอนนี้ช่างต้องใช้ความชำนาญสังเกตดูเนื้อโลหะหากน้ำทองยังมีสีขุ่นยังเททองไม่ได้ต้องรอให้น้ำทองได้สีแดงเรื่อ แบบลูกหนู อย่างที่ช่างเรียกว่า กินตา ดีแล้วจึงจะนำลงเทลงบนพิมพ์ดินเผา ศัพท์ช่างเรียกว่า "ดินงัน" มีรูปทรงกลมเนื้อหนา หน้าเป็นหลุมตื้นๆ การเลือกใช้ขึ้นกับขนาดของภาชนะที่ต้องการจะทำ ก่อนเททองช่างจะใช้น้ำมันขี้โล้ ปัจจุบันใช้น้ำมันโซลาเทลงบนผิวดินงันก่อน เพื่อให้น้ำทองแล่น ไม่ฝืด เมื่อเททองแล้วใช้พัดกระพือลมให้ทองเบ่ง ทิ้งให้ทองเย็นลงช้าๆจะได้เป็นทองก้อน มีขนาดความกว้างและหนาเท่ากับหน้าของดินงัน การทิ้งให้ทองก้อนเย็นลงอย่างช้าๆ ทำให้ทองมีความอ่อน เหมาะแก่การตี จากนั้นนำทองก้อนมาเผาไฟให้แล้วตีแผ่บนทั่งเหล็ก ช่างนำมาวางไว้ในทั่งหนุนฐานให้สูงอยู่ในระดับเดียวกัน เติ่ง คือ ก้อนหินธรรมชาติ จะช่วยบังคับรูปทองทีตีแผ่ออกให้อยู่ในมุมที่ช่างต้องการ เวลาตีช่างจะใช้คีมคีบแผ่นทองไว้ให้แน่น ใช้ค้อนตีรีดไล่กันไปโดยขยับเลื่อนไปที่ละน้อย จนกระทั่งทองเกือบจะเย็นลง ก็นำไปเผาไฟใหม่ตีแผ่ออกไปเรื่อยๆ จนได้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ต้องการแล้วตีตะแคงขึ้นขอบจากก้นขึ้นไปหาปากภาชนะให้ได้รูปวาดคร่าวๆ แล้วตีแต่งรูปภาชนะอีกครั้งหนึ่งด้วยค้อนแต่ง ค่อยๆตีแต่งบนกลางหรือทั่งไม้ที่ขุดเป็นเบ้าไว้รับรูปภาชนะ นำภาชนะที่แต่งรูปสมบูรณ์ผาไฟขั้นสุดท้ายจนสุกแดงแล้วนำจุ่มน้ำ เพื่อให้ทองเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทำให้โลหะมีความแข็งแรงและมีผิวหนทานต่อการสึกหรอ
การลาย เป็นขั้นตอนที่ 2 ที่ผู้ทำหน้าที่นี้ คือ ช่างลาย ทำหน้าที่ตีเก็บรอยค้อนทำให้เนื้อภาชนะเรียบเสมอกัน ก่อนตีลายต้องหาภาชนะด้วยดินหม้อให้ทั่ว เพื่อให้ผิวภาชนะมีความลื่น ไม่ฝืด เวลาตี นำภาชนะที่เตรียมทาดินหม้อไว้ครอบลงบนกระล่อน คือ แท่งเหล็กหัวมนกลม มีขนาดความ สูงราว 15-16 นิ้ว หน้ากว้างราว 2 นิ้ว ใช้เป็นตัวรองรับภาชนะภายใน ภายนอกใช้ค้อนหัวกลมค่อยขยับตีเก็บรอยค้อนจนขึ้นเป็นลายทั่งทั้งใบ เรียกว่า การลายภาชนะ
การกลึง เป็นขั้นตอนที่ 3 ช่างกลึงจะทำหน้าที่กลึงผิวภาชนะให้เรียบเสมอกัน เครื่องมือที่สำคัญประกอบด้วยภมรและเหล็กกลึง ภมรแบบดั้งเดิมเป็นเครื่องมือที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งเป็นท่อนกลมตรงกลาง บากเป็นร่องมีแท่นรองรับสูงขนาดนั่งกลึงภาชนะกับพื้นได้โดยสะดวก หมุนได้โดยมีคันโยกทำจากไม้ไผ่ 2 ลำผูกติดไขว้กันไว้กับขื่อบ้านปลายคันทั้งสองข้างร้อยด้วยหนังพันไว้รอบแกนภมร เมื่อโยกคันไม้ไผ่แกนของภมรจะหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันใช้ภมรต่อกับมอเตอร์หมุนได้ทั้ง 2 ด้าน การกลึงต้องนำภาชนะติดกับหน้าภมร โดยใช้ชันผสมไขเนื้อตั้งไฟหรือใช้คบเผาให้อ่อนตัว ทาชันเคี่ยวที่ภาชนะนำไปติดกับหน้าภมร ชันเมื่อเย็นลงจะแข็งติดแน่นกับภมร โยกคันภมรให้หมุน กดเหล็กกลึงขูดลงบนผิวภาชนะแต่งให้เรียบทั่วทั้งใบโดยอาศัยแรงเหวี่ยงจากภมรนำภาชนะออกเปลี่ยนด้านกลึงด้วยวิธีเดียวกันจนเรียบเสมอทั้ง 2 ด้าน ขั้นตอนนี้จะได้ภาชนะที่มีสีทองสุกปลั่งมีผิวเรียบ
การกรอ เป็นขั้นตอนที่ 4 การกรอคือการที่ช่างนำตะไบมากรอขอบปากของภาชนะให้เรียบเสมอกัน แต่เดิมเรียกขั้นตอนนี้ว่า "ขึ้นตะไบ" เนื่องจากช่างจะใช้ตะไบเป็นเครื่องมือในการตกแต่ง แต่ในปัจจุบันมีการปรับ-เปลี่ยนมาใช้เครื่องกรอไฟฟ้าตกแต่งแทน
การเจียร การเจียรในสมัยโบราณไม่มีขั้นตอนนี้แต่ในปัจจุบันกลุ่มผู้ผลิตได้ประยุกต์นำเครื่องเจียรไฟฟ้าโดยใช้แผ่นเจียรโลหะเนื้อหยาบมาแต่งรอยตำหนิต่าง ๆ บนภาชนะเพื่อให้ผิวภาชนะเรียบเรียกว่า "การเก็บเม็ด" ซึ่ง ในขั้นตอนนี้ช่างจะเจียรเฉพาะส่วนที่มีริ้วรอยเท่านั้น แต่ถ้าหากภาชนะไม่มีริ้วรอยก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปยังขั้นตอนต่อไปนั่นคือ "การแต่งผิว" คือ การตกแต่งริ้วรอยอันเกิดจากขั้นตอนการเก็บเม็ดอีกครั้งสำหรับขั้นตอนนี้จะใช้แผ่น โลหะเนื้อละเอียดแต่งให้ทั่วผิวภาชนะเพื่อความสะดวกต่องานในขั้นตอนต่อไป
การขัด การขัดเป็นขั้นตอนที่ ต้องใช้ความชำนาญเป็นอย่างมาก ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ เรียกว่าช่างขัด สมัยก่อนช่างโบราณใช้หินเนื้อละเอียดอย่างหินลับมีดทั้งก้อนขัดภาชนะให้ขึ้นเงา ต่อมาช่างบ้านบุใช้เบ้าดินเผาที่ใช้แล้ว มีเนื้อแกร่งเหมือนหิน บดให้ย่อยผสมกับน้ำมะพร้าวห่อผ้าหมุนกลิ้งไปกับเนื้อภาชนะ เรียกว่า เหยียบเบ้า ปัจจุบันใช้เครื่องปั่นมอเตอร์ติดลูกทรายและลูกผ้า การขัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายขั้นตอนการผลิตดังกล่าว ช่างต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญที่สั่งสมบ่มเพาะสืบทอดกันจากนายช่างสู่ลูกมือ จากพ่อแม่สู่ลูกหลาน โดยการสังเกตเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและทดลองค้นคว้า จนได้ผลที่มีคุณภาพดี เครื่องทองลงหินที่ได้จากขั้นตอนการผลิตด้วยมือแบบดั้งเดิมของชาวบ้านบุ มีคุณสมบัติของเนื้อภาชนะที่เหนียว แข็งแกร่ง มีผิวสีสุกใสเป็นเงางาม ไม่ขุ่นมัวได้ง่าย มีน้ำหนัก มีผิวเย็น ใส่น้ำเย็นจัดเมื่อเคาะดูมีเสียงดังกังวาน จึงนิยมทำเป็นเครื่องดนตรีประเภท ฉิ่ง ฉาบและฆ้องอีกด้วย
การแกะลาย เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการผลิตเครื่องทองลงหิน ช่างแกะลายจะทำหน้าที่ เป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่ในขั้นตอนนี้ มิได้มีการแกะลายที่บ้านบุ แต่ส่งไปแกะลายต่อที่บ้านของคุณป้านรา ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวชิ้นงานที่มีคุณภาพ เครื่องทองลงหินบ้านบุนี้ จึงต้องใช้ช่างเฉพาะสาขา นั้นๆ โดยแท้จริง โดยมากช่างมักจะแกะลวดลายตามความต้องการของช่างเองว่าจะให้มีลวดลายแบบใด ให้มีความสวยงาม มักเป็นลวดลายที่ผ่านการแกะโยงสืบทอดต่อกันมาในลักษณะครูพักลักจำ หรือลายไทยที่พบในหนังสือลายไทย โดยทั่วไป เช่น ลายมะลิวัน เป็นลายดั้งเดิม แต่บรรพบุรุษที่มีการแกะสืบต่อกันมาจัดเป็นลายที่นิยมแกะมากที่สุด เพราะเป็นลายแรกเริ่มและแกะง่าย ต่อมาก็มีลายมะลิวัน แต่มีการใส่ภู่เพิ่มเข้ามาลายเทพพนม ลายปฐมต้น(ลายไทยโบราณ) บางครั้งมีการดัดแปลงลาย เพื่อง่ายต่อการแกะมากยิ่งขึ้น จึงไม่มีชื่อลาย